วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2560

บันทึกหลังการเรียน ครั้งที่9
วัพุที่19 2560
รี08.30-12.30น.
เนื้อหาการเรียน
การเขียนแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล IEP
องค์ประกอบ
1.ข้อมูลทั่วไป
2.ข้อมูลด้านการแพทย์หรือด้านสุขภาพ
3.ข้อมูลด้านการศึกษา
4.ข้อมูลอื่นๆที่จำเป็น
5.การวางแผนการจัดการศึกษา
 *ตัวอย่าง
 •ระดับความสามารถในปัจจุบัน
ทักษะกล้ามเนื้อมัดใหญ่
   จุดเด่น
1.สามารถกระโดดอยู่กับที่ได้
   จุดอ่อน
1.ไม่สามารถกระโดดไปข้างหน้าได้
   •เป้าหมายระยะยาว1ปี
ภายในวันที่10กุมภาพันธ์ 2561 เด็กหญิงมลทิรา กาญกุญชัย กระโดดได้
   •จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม(เป้าหมายระยะสั้น)
1.ขณะเล่นกิจกรรมกลางแจ้ง เมื่อให้กระโดดไปข้างหน้า เด็กหญิงมลทิรา กาญกุญชัย สามารถกระโดดไปข้างหน้าได้ทุกครั้ง
   •การประเมินผล
จากการสังเกตและจดบันทึกพฤติกรรมโดยใช้เกณฑ์การกระโดดไปข้างหน้า
   •ผู้รับผิดชอบ
อ.สุจิน ระหงส์

การเขียนผังกราฟิค


สิ่งที่ได้รับ
การเขียนแผนIEP จะง่ายกว่าแผนปกติ เพราะ1แผนสามารถใช้สอนได้1ปี

ประเมินเพื่อน
มีความกระตือรือร้นในการเรียนและไม่คุยกันเสียงดังเมื่ออาจารย์สอน

ประเมินตนเอง
ตั้งใจฟังขณะที่อาจารย์กำลังสอนและแต่งกายเรียบร้อยตามกฏระเบียบ

ประเมินอาจารย์
เตรียมสื่อการสอนได้ดีและมีวิธีการสอนที่น่าสนใจ


วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560

บันทึกหลังการเรียน ครั้งที่8
วัพุที่29 มี2560
รี 08.30-12.30น.
เนื้อหาการเรียน
   โปรแกรมการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program)
แผน IEP
-แผนการศึกษาที่ร่างขึ้น
-เพื่อให้เด็กพิเศษแต่ละคนได้รับการสอน และการช่วยเหลือฟื้นฟูให้เหมาะสมกับความต้องการและความสามารถของเขา
-ด้วยการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก
-โดยระบุเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการใช้แผนและวิธีการวัดประเมินผลเด็ก

การเขียนแผน IEP
-คัดแยกเด็กพิเศษ
-ครูต้องรู้ว่าเด็กมีปัญหาอะไร
-ประเมินพัฒนาการเด็กเป็นระยะ จะทำให้ทราบว่าจะต้องเริ่มช่วยเหลือเด็กจากจุดไหน ในทักษะใด
-เด็กสามารถทำอะไรได้  / เด็กไม่สามารถทำอะไรได้
-แล้วจึงเริ่มเขียนแผน IEP

IEP ประกอบด้วย
-ข้อมูลส่วนตัวของเด็ก
-ระบุว่าเด็กมีความจำเป็นต้องได้รับบริการพิเศษอะไรบ้าง
-การระบุความสามารถของเด็กในขณะปัจจุบัน
-เป้าหมายระยะยาวประจำปี / ระยะสั้น
-ระบุวัน เดือน ปี ที่เริ่มทำการสอน และคาดคะเนการสิ้นสุดของแผน
-วิธีการประเมินผล

ประโยชน์ต่อเด็ก
-ได้เรียนรู้ตามความสามารถของตน
-ได้มีโอกาสพัฒนาตามศักยภาพของตน
-ได้รับการศึกษาและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม
-ถ้าเด็กเข้าเรียนในโรงเรียนจะไม่ถูกจัดเข้าชั้นเรียนเฉยๆ

ประโยชน์ต่อครู
-เป็นแนวทางการจัดการเรียนการสอนที่ตรงกับความสามารถและความต้องการของเด็ก
-เป็นแนวทางในการเลือกสื่อการสอนและวิธีการสอนให้เหมาะกับเด็ก
-ปรับเปลี่ยนได้เมื่อความต้องการเปลี่ยนแปลงไป
-เป็นแนวทางในการประเมินผลการเรียนและการเขียนรายงานพัฒนาการความก้าวหน้าของเด็ก
-ตรวจสอบและประเมินได้เป็นระยะ

ประโยชน์ต่อผู้ปกครอง
-ได้มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการเรียนรายบุคคล เพื่อให้เด็กได้พัฒนาความสามารถได้สูงสุดตามศักยภาพ
-ทราบร่วมกับครูว่าจะฝึกลูกของตนอย่างไร
-เกิดความร่วมมือในการพัฒนาเด็ก มีการติดต่อสื่อสารกันอย่างต่อเนื่อง และใกล้ชิดระหว่างบ้านกับโรงเรียน

ขั้นตอนการจัดทำแผนการศึกษารายบุคคล
      1. การรวบรวมข้อมูล
-รายงานทางการแพทย์
-รายงานการประเมินด้านต่างๆ
-บันทึกจากผู้ปกครอง ครู และผู้ที่เกี่ยวข้อง

2. การจัดทำแผน
-ประชุมผู้ที่เกี่ยวข้อง
-กำหนดจุดมุ่งหมายระยะยาวและระยะสั้น
-กำหนดโปรแกรมและกิจกรรม
-จะต้องได้รับการรับรองแผนการศึกษาเฉพาะบุคคลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

การกำหนดจุดมุ่งหมาย
จุดมุ่งหมายระยะยาว
กำหนดให้ชัดเจน แม้จะกว้าง
-น้องนุ่นช่วยเหลือตนเองได้
-น้องดาวร่วมมือกับผู้อื่นได้ดีขึ้น
-น้องริวเข้ากับเพื่อนคนอื่นๆได้

จุดมุ่งหมายระยะสั้น
-ตั้งให้อยู่ภายใต้จุดมุ่งหมายหลัก
-เป็นพฤติกรรมที่เด็กสามารถทำได้ในระยะ 2-3 วัน หรือ 2-3 สัปดาห์
-จะสอนใคร
-พฤติกรรมอะไร
-เมื่อไหร่ ที่ไหน (ที่พฤติกรรมนั้นจะเกิด)
-พฤติกรรมนั้นต้องดีขนาดไหน
-ใคร                                       
-อะไร                                                 
-เมื่อไหร่ / ที่ไหน                  
-ดีขนาดไหน

3. การใช้แผน
-เมื่อแผนเสร็จสมบูรณ์ ครูจะนำไปใช้โดยจะใช้แผนระยะสั้น
-นำมาทำเป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
-แยกย่อยขั้นตอนการสอนให้เหมาะกับเด็ก
-จัดเตรียมสื่อและจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
-ต้องมีการสังเกตเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเด็กและความสามารถ โดยคำนึงถึง
     -ขั้นตอนพัฒนาการของเด็กปกติ
     -ตัวชี้วัดพื้นฐานที่เกี่ยวกับปัญหาของพัฒนาการเด็ก
     -อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมของเด็กและผู้ใหญ่ที่มีผลต่อการแสดงออกของเด็ก

4. การประเมินผล
-โดยทั่วไปจะประเมินภาคเรียนละครั้ง หรือย่อยกว่านั้น
-ควรมีการกำหนดวิธีการประเมิน และเกณฑ์วัดผล
** การประเมินในแต่ละทักษะหรือแต่ละกิจกรรม อาจใช้วิธีวัดและกำหนดเกณฑ์แตกต่างกัน**




 กิจกรรมมือของฉัน
-วาดรูปมือข้างที่ตนเองไม่ถนัด และเส้นลายมือของตนเองลงไปในกระดาษ โดยห้ามดูมือตนเองให้วาดจากความน่าจะเป็นจริง ที่ใกล้เคียงที่สุด
-ห้ามเขียนชื่อตนเองลงไปในกระดาษ จากนั้นส่งคืนอาจารย์ อาจารย์แจกให้นักศึกษาคนละแผ่น โดยห้ามตรงกับแผ่นของตนเอง
-นักศึกษาตามหาเจ้าของลายมือในกระดาษแผ่นนั้น
-อาจารย์และนักศึกษาร่วมกันทายเจ้าของลายมือในกระดาษของแต่ละคน ใครโดนเพื่อนทายถูกแสดงว่าคนนั้นจดจำรายละเอียดลายมือของตนเองได้เป็นอย่างดี
    จากกิจกรรม สิ่งที่อยู่กับเราตลอดเวลาบางครั้งเราก็จำไม่ได้ = การจำรายละเอียดของตนเองได้
สอดคล้องกับการเขียนสะท้อนพฤติกรรมเด็ก ต้องจำได้จริง
การเขียนสมุดพก อย่าคิดว่าตนเองจะจำได้หากไม่จดและไม่จำในตอนนั้น ควรจดเป็นระยะ



กิจกรรมวงกลมหลากสี
-ใช้สีเทียนวาดเป็นวงกลมซ้อนๆกันหลายวง เล็กใหญ่ขนาดตามใจชอบ ใช้กี่สีก็ได้
-จากนั้นให้ตัดตามขอบวงกลมนอกสุด
-ให้นักศึกษานำวงกลมไปติดที่กระดานหน้าห้องตามใจชอบ ซึ่งจะมีส่วนของต้นไม้ที่เป็นลำต้นติดอยู่
-อาจารย์บอกถึงลักษณะนิสัยของคนี่เลือกใช้สีแต่ละสี และการเลือกติดวงกลมตามตำแหน่งต่างๆ
   จากกิจกรรม สะท้อนให้เห็นว่าแต่ละคนมีอารมณ์หรือพฤติกรรมไม่เหมือนกัน บางคนใจเย็น สุขุม บางคนก็ทำตัวลึกลับ หรือมีอารมณ์ที่รุนแรงอยู่ในใจ


สิ่งที่ได้รับ
การเขียนแผนIEPแตกต่างจากการแผนปกติ ซึ่งจะมีระยะสั้นกับระยะยาว และรายละเอียดน้อยกว่าปกติ

ประเมินตนเอง
ตั้งใจฟังขณะที่อาจารย์กำลังสอนและให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมเป็นอย่างดี

ประเมินเพื่อน
แต่งกายเรียบร้อย นั่งเรียนอย่างสงบ และตั้งใจฟังขณะที่อาจารย์กำลังสอน

ประเมินอาจารย์
แต่งกายเรียบร้อย จัดเตรียมสื่อการสอนให้นักศึกษาอย่างเหมาะสม และมีกิจกรรมที่น่าสนใจ


วันเสาร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2560

บัทึลัรีรั้ที่ 7
วัพุ ที่22 มี 2560
รี08.30-12.30.
เนื้อหาการเรียน
การส่งเสริมพัฒนาการและการปรับพฤติกรรมเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
   -เพื่อให้เด็กสามารถช่วยเหลือตนเองได้ในชีวิตประจำวัน
   -ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ใกล้เคียงกับคนปกติมากที่สุด 
   -เน้นการดูแลแบบองค์รวม (Holistic Approach)

1. การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา
   -เพิ่มทักษะพื้นฐานด้านสังคม การสื่อสาร และทักษะทางความคิด
   -เกิดผลดีในระยะยาว
   -เน้นการเตรียมความพร้อมเพื่อให้เด็กสามารถใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆแทนการฝึกแต่เพียงทักษะทางวิชาการ
   -แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program; IEP)
   -โรงเรียนการศึกษาพิเศษเฉพาะทาง โรงเรียนเรียนร่วม ห้องเรียนคู่ขนาน

2.การฟื้นฟูสมรรถภาพทางสังคม
   -การฝึกฝนทักษะในชีวิตประจำวัน  (Activity of Daily Living Training)
   -การฝึกฝนทักษะสังคม (Social Skill Training)
   -การสอนเรื่องราวทางสังคม (Social Story)

 3. การบำบัดทางเลือก
   -สื่อความหมายทดแทน (AAC)
   -ศิลปกรรมบำบัด (Art Therapy)
   -ดนตรีบำบัด (Music Therapy)
   -การฝังเข็ม (Acupuncture)
   -การบำบัดด้วยสัตว์ (Animal Therapy)

การสื่อความหมายทดแทน (Augmentative and Alternative Communication ; AAC)
   -การรับรู้ผ่านการมอง (Visual Strategies)
   -โปรแกรมแลกเปลี่ยนภาพเพื่อการสื่อสาร (Picture Exchange Communication System; PECS)
   -เครื่องโอภา (Communication Devices)
   -โปรแกรมปราศรัย
   -Picture Exchange Communication System (PECS)



บทบาทของครู
   -ตำแหน่งการนั่งของเด็กไม่ควรให้นั่งติดหน้าต่างหรือประตู
   -ให้เด็กนั่งแถวหน้าสุดใกล้โต๊ะครู
   -จัดให้เด็กนั่งติดกับนักเรียนที่ไม่ค่อยเล่น ไม่ค่อยคุยในระหว่างเรียน
   -ให้เด็กมีกิจกรรม เปลี่ยนอิริยาบถบ้าง

การส่งเสริมทักษะต่างๆของเด็กพิเศษ
1. ทักษะทางสังคม
   -เด็กพิเศษที่ขาดทักษะทางสังคม ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการพ่อแม่
   -การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่าเด็กจะมีพัฒนาการต่างๆอย่างมีความสุข

กิจกรรมการเล่น
   -การเล่นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการเรียนรู้ทักษะทางสังคม
   -เด็กจะสนใจกันเองโดยอาศัยการเล่นเป็นสื่อ
   -ในช่วงแรกๆ เด็กจะไม่มองเด็กคนอื่นเป็นเพื่อน  แต่เป็นอะไรบางอย่างที่น่าสำรวจ สัมผัส ผลัก ดึง

ยุทธศาสตร์การสอน
   -เด็กพิเศษหลายๆคนไม่รู้วิธีเล่น  ไม่รู้ว่าจะเล่นอย่างไร
   -ครูเริ่มต้นจากการสังเกตเด็กแต่ละคนอย่างเป็นระบบ
   -จะบอกได้ว่าเด็กมีทักษะการเล่นแบบใดบ้าง
   -ครูจดบันทึก
   -ทำแผน IEP

การกระตุ้นการเลียนแบบและการเอาอย่าง
   -วางแผนกิจกรรมการเล่นไว้หลายๆอย่าง
   -คำนึงถึงเด็กทุกๆคน
   -ให้เด็กเล่นเป็นกลุ่มเล็กๆ 2-4 คน
   -เด็กปกติทำหน้าที่เหมือน ครู ให้เด็กพิเศษ

ครูปฏิบัติอย่างไรขณะเด็กเล่น
   -อยู่ใกล้ๆ และเฝ้ามองอย่างสนใจ
   -ยิ้มและพยักหน้าให้ ถ้าเด็กหันมาหาครู
   -ไม่ชมเชยหรือสนใจเด็กมากเกินไป
   -เอาวัสดุอุปกรณ์มาเพิ่ม เพื่อยืดเวลาการเล่น
   -ให้ความคิดเห็นที่เป็นแรงเสริม

การให้แรงเสริมทางสังคมในบริบทที่เด็กเล่น
   -ครูพูดชักชวนให้เด็กร่วมเล่นกับเพื่อน
   -ทำโดย การพูดนำของครู

ช่วยเด็กทุกคนให้รู้กฎเกณฑ์
   -ง่ายสำหรับเด็กพิเศษ
   -การให้โอกาสเด็ก
   -เด็กพิเศษต้องเรียนรู้สิทธิต่างๆเหมือนเพื่อนในห้อง
   -ครูต้องไม่ใช้ความบกพร่องของเด็กพิเศษเป็นเครื่องต่อรอง

2. ทักษะภาษา
การวัดความสามารถทางภาษา
   -เข้าใจสิ่งที่ผู้อื่นพูดไหม
   -ตอบสนองเมื่อมีคนพูดด้วยไหม
   -ถามหาสิ่งต่างๆไหม
   -บอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นไหม
   -ใช้คำศัพท์ของตัวเองกับเด็กคนอื่นไหม

การออกเสียงผิด / พูดไม่ชัด
   -การพูดตกหล่น
   -การใช้เสียงหนึ่งแทนอีกเสียง
   -ติดอ่าง

การปฏิบัติของครูและผู้ใหญ่
   -ไม่สนใจการพูดซ้ำหรือการออกเสียงไม่ชัด
   -ห้ามบอกเด็กว่า  พูดช้าๆ   ตามสบาย   คิดก่อนพูด
   -อย่าขัดจังหวะขณะเด็กพูด
   -อย่าเปลี่ยนการใช้มือข้างที่ถนัดของเด็ก
   -ไม่เปรียบเทียบการพูดของเด็กกับเด็กคนอื่น
   -เด็กที่พูดไม่ชัดอาจเกี่ยวข้องกับการได้ยิน

ทักษะพื้นฐานทางภาษา
   -ทักษะการรับรู้ภาษา
   -การแสดงออกทางภาษา
   -การสื่อความหมายโดยไม่ใช้คำพูด

ความรับผิดชอบของครูปฐมวัย
   -การรับรู้ภาษามาก่อนการแสดงออกทางภาษา
   -ภาษาที่ไม่ใช่คำพูดมาก่อนภาษาพูด
   -ให้เวลาเด็กได้พูด
   -คอยให้เด็กตอบ (ชี้แนะหากจำเป็น)
   -เป็นผู้ฟังที่ดีและโตต้อบอย่างฉับไว (ครูไม่พูดมากเกินไป)
   -เด็กไม่ได้เรียนรู้ภาษาจากการฟังเพียงอย่างเดียว

การสอนตามเหตุการณ์(Incidental Teaching)
3. ทักษะการช่วยเหลือตนเอง
   -เรียนรู้การดำรงชีวิตโดยอิสระให้มากที่สุด
   -การกินอยู่
   -การเข้าห้องน้ำ
   -การแต่งตัว
   -กิจวัตรต่างๆในชีวิตประจำวัน

การสร้างความอิสระ
   -เด็กอยากช่วยเหลือตนเอง
   -อยากทำงานตามความสามารถ
   -เด็กเลียนแบบการช่วยเหลือตนเองจากเพื่อน เด็กที่โตกว่า และผู้ใหญ่

ความสำเร็จเป็นสิ่งสำคัญ
   -การได้ทำด้วยตนเอง
   -เชื่อมั่นในตนเอง
   -เรียนรู้ความรู้สึกที่ดี

หัดให้เด็กทำเอง
   -ไม่ช่วยเหลือเกินความจำเป็น (ใจแข็ง)
   -ผู้ใหญ่มักทำสิ่งต่างๆให้เด็กมากเกินไป
   -ทำให้แม้กระทั่งสิ่งที่เด็กสามารถทำได้เองหากให้เวลาเขาทำ
   -“ หนูทำช้า   หนูยังทำไม่ได้

จะช่วยเมื่อไหร่
   -เด็กก็มีบางวันที่ไม่อยากทำอะไร , หงุดหงิด , เบื่อ , ไม่ค่อยสบาย
   -หลายครั้งเด็กจะขอความช่วยเหลือในสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้ว
   -เด็กรู้สึกว่ายังมีผู้ใหญ่ที่พึ่งได้ แต่ต้องได้รับความช่วยเหลือเฉพาะสิ่งที่เด็กต้องการ
   -มักช่วยเด็กในช่วงกิจกรรม

ลำดับขั้นในการช่วยเหลือตนเอง
   -แบ่งทักษะการช่วยเหลือตนเองออกเป็นขั้นย่อยๆ
   -เรียงลำดับตามขั้นตอน

การเข้าส้วม
   -เข้าไปในห้องส้วม
   -ดึงกางเกงลงมา
   -ก้าวขึ้นไปนั่งบนส้วม
   -ปัสสาวะหรืออุจจาระ
   -ใช้กระดาษชำระเช็ดก้น
   -ทิ้งกระดาษชำระในตะกร้า
   -กดชักโครกหรือตักน้ำราด
   -ดึงกางเกงขึ้น
   -ล้างมือ
   -เช็ดมือ
   -เดินออกจากห้องส้วม

4. ทักษะพื้นฐานทางการเรียน
เป้าหมาย
   -การช่วยให้เด็กแต่ละคนเรียนรู้ได้ 
   -มีความรู้สึกดีต่อตนเอง
   -เด็กรู้สึกว่า ฉันทำได้
   -พัฒนาความกระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็น
   -อยากสำรวจ อยากทดลอง

ช่วงความสนใจ
   -ต้องมีก่อนการเรียนรู้อื่นๆ
   -จดจ่อต่อกิจกรรมในช่วงเวลาหนึ่งได้นานพอสมควร

การเลียนแบบ
การทำตามคำสั่ง คำแนะนำ
   -เด็กได้ยินสิ่งที่ครูพูดชัดหรือไม่
   -เด็กเข้าใจคำศัพท์ที่ครูใช้หรือไม่
   -คำสั่งยุ่งยากซับซ้อนไปหรือไม่

การควบคุมกล้ามเนื้อเล็ก
   -การกรอกน้ำ ตวงน้ำ
   -ต่อบล็อก
   -ศิลปะ
   -มุมบ้าน
   -ช่วยเหลือตนเอง

ความจำ
   -จากการสนทนา
   -เมื่อเช้าหนูทานอะไร
   -แกงจืดที่เรากินใส่อะไรบ้าง
   -จำตัวละครในนิทาน
   -จำชื่อครู เพื่อน
   -เล่นเกมทายของที่หายไป

การวางแผนการเตรียมพื้นฐานทางวิชาการ
   -จัดกลุ่มเด็ก
   -เริ่มต้นเรียนรู้โดยใช้ช่วงเวลาสั้นๆ
   -ให้งานเด็กแต่ละคนอย่างชัดเจนว่าต้องทำที่ไหน
   -ติดชื่อเด็กตามที่นั่ง
   -ใช้อุปกรณ์ที่เด็กคุ้นเคย
   -ใช้อุปกรณ์ที่เด็กคุ้นเคย
   -บันทึกว่าเด็กชอบอะไรที่สุด

สิ่งที่ได้รับ
การส่งเสริมพัฒนาการของเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษเป็นการช่วยให้เขาช่วยเหลือและพัฒนาตนเองได้ โดยเริ่มจากสิ่งง่ายๆ เพื่อให้เขาได้พัฒนาไปทีละขั้น

ประเมินตนเอง
แต่งกายเรียบร้อย ไม่คุยกับเพื่อนขณะที่อาจารย์กำลังสอน ให้ความร่วมมือการเรียนเป็นอย่างดี

ประเมินเพื่อน
แต่งกายเรียบร้อยตามระเบียบ ให้ความร่วมมืออาจารย์ในการสอน นั่งเป็นระเบียบเรียบร้อย

ประเมินอาจารย์
อาจารย์ยกตัวอย่างในการสอนอย่างชัดเจนให้นักศึกษาได้เข้าใจ และมีเนื้อหาการสอนอย่างดี